โลจิสติกส์ เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกธุรกิจปัจจุบัน โดยครอบคลุมการจัดการทุกขั้นตอนในการเคลื่อนย้ายสิ่งของ วัตถุดิบ เครื่องมือ หรือผลิตภัณฑ์ จากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทาง ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวางกว่าเพียงแค่การขนส่งสินค้า นี่คือสิ่งที่แยกแยะธุรกิจโลจิสติกส์ออกจากธุรกิจขนส่งทั่วไปได้อย่างชัดเจน ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โลจิสติกส์ได้พัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่ซับซ้อนและหลากหลายของตลาดโลก ปัจจุบัน เราสามารถแบ่งประเภทของโลจิสติกส์ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดออกเป็น 5 ประเภทหลัก
รวม 5 ประเภทของโลจิสติกส์ แต่ละประเภททำหน้าที่อะไรบ้าง?
1. โลจิสติกส์ขาเข้า (Inbound Logistics)
โลจิสติกส์ขาเข้าเกี่ยวข้องกับการจัดการการไหลเวียนของวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และสินค้าจากซัพพลายเออร์เข้าสู่โรงงานหรือคลังสินค้า กระบวนการนี้ซึ่งรวมถึงการวางแผนการสั่งซื้อ การขนส่ง การตรวจรับสินค้า และการจัดเก็บ ประสิทธิภาพของโลจิสติกส์ขาเข้ามีผลโดยตรงต่อต้นทุนการผลิตและความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาด บริษัทที่มีระบบโลจิสติกส์ขาเข้าที่ดีจะสามารถลดต้นทุนการจัดเก็บสินค้าคงคลัง เพิ่มความยืดหยุ่นในการผลิต และรับมือกับความผันผวนของอุปสงค์ได้ดีกว่า2.โลจิสติกส์ขาออก (Outbound Logistics)
โลจิสติกส์ขาออกครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายสินค้าสำเร็จรูปจากโรงงานหรือคลังสินค้าไปยังลูกค้าปลายทาง ซึ่งรวมถึงการบรรจุหีบห่อ การจัดเก็บ การขนส่ง และการกระจายสินค้า ระบบโลจิสติกส์ขาออกที่มีประสิทธิภาพสูงจะช่วยลดระยะเวลาในการส่งมอบสินค้า เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และลดต้นทุนการดำเนินงาน นอกจากนี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยเฉพาะในยุคที่การส่งมอบสินค้าอย่างรวดเร็วกลายเป็นความคาดหวังพื้นฐานของผู้บริโภค3. โลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics)
โลจิสติกส์ย้อนกลับเป็นกระบวนการจัดการสินค้าที่ถูกส่งคืนจากลูกค้า กลับมายังผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นเพราะสินค้าชำรุด ไม่ตรงตามความต้องการ หรือเพื่อการรีไซเคิล ความสำคัญของโลจิสติกส์ประเภทนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคที่การซื้อขายออนไลน์เฟื่องฟู หรือ อีคอมเมิร์ชต่างๆ เนื่องจากอัตราการคืนสินค้าที่สูงขึ้น การมีระบบโลจิสติกส์ย้อนกลับที่มีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนและความสูญเสียเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของแบรนด์ในแง่ของความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยอ่านเพิ่มเติม : 3pl คืออะไร
4. โลจิสติกส์บุคคลที่ 3 (Third-Party Logistics - 3PL)
3PL ช่วยให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการดำเนินงาน เพิ่มความยืดหยุ่น และมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลักของตนเองได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ระดับสูงโดยไม่ต้องลงทุนเอง ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่ต้องการขยายตลาดหรือเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
5. โลจิสติกส์บุคคลที่ 4 (Fourth-Party Logistics – 4PL)
Fourth-Party Logistics หรือ 4PL เป็นแนวคิดที่พัฒนาต่อยอดมาจาก Third-Party Logistics (3PL) โดยมุ่งเน้นการบูรณาการและการจัดการห่วงโซ่อุปทานแบบครบวงจรในระดับที่สูงขึ้น ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานหลักระหว่างบริษัทลูกค้าและผู้ให้บริการโลจิสติกส์หลายราย โดยรับผิดชอบในการออกแบบ วางแผน และจัดการกระบวนการโลจิสติกส์ทั้งหมด ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบไปจนถึงการส่งมอบสินค้าถึงมือลูกค้า บริษัท 4PL จะทำงานอย่างใกล้ชิดกับลูกค้าเพื่อพัฒนากลยุทธ์โลจิสติกส์ที่เหมาะสมที่สุด โดยอาศัยความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ข้อมูล เทคโนโลยีสารสนเทศ และการบริหารจัดการสรุป โลจิสติกส์ทั้ง 5 ประเภท
ทั้ง 5 ประเภทของโลจิสติกส์นี้ไม่ได้แยกขาดจากกัน แต่มักจะทำงานร่วมกันเพื่อสร้างระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน ในโลกธุรกิจปัจจุบันที่มีการแข่งขันสูงและมีความซับซ้อนมากขึ้น การเข้าใจและประยุกต์ใช้แนวคิดโลจิสติกส์เหล่านี้อย่างเหมาะสมจึงเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับการให้บริการลูกค้า สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว
การพัฒนาอย่างต่อเนื่องของเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) และ blockchain กำลังเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการปฏิวัติวงการโลจิสติกส์ ทำให้การจัดการห่วงโซ่อุปทานมีความแม่นยำ โปร่งใส และมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา ดังนั้น การติดตามแนวโน้มและนวัตกรรมใหม่ๆ ในวงการโลจิสติกส์จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกธุรกิจที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
Website Profile : บริษัท โคโนอิเกะ คูล โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด