ค้นหา
"คลังสินค้า" กับ "ที่เก็บของ" แตกต่างกันอย่างไร? สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้

"คลังสินค้า" กับ "ที่เก็บของ" แตกต่างกันอย่างไร? สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้

คลังสินค้าคืออะไร (Warehouse)

คลังสินค้า (Warehouse) คือสถานที่สำหรับเก็บและกระจายสินค้าคงคลังไปยังจุดต่างๆ โดยมีหลายชื่อเรียกตามฟังก์ชัน เช่น ศูนย์กระจายสินค้า หรือ โกดังสินค้า คลังสินค้าทำหน้าที่จัดเก็บสินค้าหรือวัตถุดิบ และบางครั้งใช้สำหรับเก็บงานระหว่างการผลิต ซึ่งประเภทของคลังสินค้าขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน เช่น ศูนย์กระจายสินค้า (Distribution Center) สำหรับการจัดเก็บและกระจายสินค้าสู่จุด
ขาย



ประเภทคลังสินค้าแบ่งตามลักษณะรูปแบบงาน

การเลือกคลังสินค้าที่เหมาะสมกับรูปแบบงานจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือประเภทของคลังสินค้าตามลักษณะการใช้งาน
  1. คลังสินค้าสำหรับเก็บรักษา: เหมาะสำหรับการเก็บสินค้าสำเร็จรูป วัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนที่รอการผลิตต่อ โดยมีระบบรักษาสภาพสินค้าและป้องกันการสูญหายอย่างดี
  2. ศูนย์กระจายสินค้า: ทำหน้าที่ทั้งจัดเก็บและกระจายสินค้า ระหว่างผู้ผลิตและผู้ค้าปลีก รวมถึงผู้ประกอบการโลจิสติกส์ที่ช่วยส่งสินค้าถึงมือลูกค้า
  3. ศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้า: ใช้ในการรับและเปลี่ยนถ่ายสินค้าจากหลายแหล่ง ก่อนนำมาคัดแยกและส่งให้ลูกค้าต่อไป เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องจัดการสินค้าจากหลายแหล่งพร้อมกัน
คลังสินค้า

ความสำคัญของคลังสินค้า

คลังสินค้าคือหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการธุรกิจที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในหลายด้าน
  1. การจัดการสินค้าคงคลัง: ควบคุมปริมาณสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการ
  2. การลดต้นทุน: ประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและการผลิต
  3. การรักษาคุณภาพสินค้า: ป้องกันความเสียหายและเสื่อมสภาพของสินค้า
  4. การกระจายสินค้า: ช่วยให้สินค้าถึงมือลูกค้าได้รวดเร็ว
  5. การวางแผนธุรกิจ: ให้ข้อมูลสำหรับการวางแผนการผลิตและการตลาด
  6. การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน: ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ดีขึ้น

Storage (ที่เก็บของ) คืออะไร?

ที่เก็บของ หมายถึงพื้นที่หรือสถานที่ที่ใช้ในการเก็บสินค้า วัตถุ หรือวัสดุต่างๆ โดยสามารถจัดเก็บได้ทั้งชั่วคราวหรือระยะยาว แม้จะดูเป็นแนวคิดที่เรียบง่าย แต่ Storage มีบทบาทสำคัญทั้งในธุรกิจและชีวิตประจำวัน

ในธุรกิจ ที่เก็บของช่วยจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลางที่ไม่ต้องการคลังสินค้าขนาดใหญ่ การใช้ Storage ช่วยให้สามารถเก็บสินค้าพร้อมสำหรับการจำหน่าย โดยไม่ต้องลงทุนในพื้นที่ขนาดใหญ่ อีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นสูง สามารถขยายพื้นที่ได้ตามความต้องการ และช่วยบริหารต้นทุนได้ดี

สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ Storage ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเก็บสินค้าได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องพื้นที่จัดเก็บที่บ้านหรือในออฟฟิศ
Storage (ที่เก็บของ) คืออะไร?

Warehouse กับ Storage ต่างกันอย่างไร?

แม้ว่า คลังสินค้า (Warehouse) และ Storage จะมีหน้าที่เก็บสินค้าคล้ายกัน แต่ทั้งสองมีความแตกต่างที่สำคัญในแง่ของขนาด, วัตถุประสงค์, และการจัดการ

  • คลังสินค้า เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ออกแบบมาเพื่อจัดเก็บสินค้าในปริมาณมาก ใช้ในระบบโลจิสติกส์และห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจ มีการบริหารจัดการที่ซับซ้อน เช่น ระบบการควบคุมสินค้าคงคลัง การกระจายสินค้า และการใช้เทคโนโลยีหรืออุปกรณ์เฉพาะเช่น รถโฟร์คลิฟท์
  • Storage เป็นพื้นที่จัดเก็บขนาดเล็ก เช่น ห้องเก็บของในบ้านหรือพื้นที่ให้เช่าสำหรับเก็บของส่วนตัว ใช้สำหรับการจัดเก็บสินค้าปริมาณน้อย การจัดการจึงเรียบง่ายและไม่ต้องการอุปกรณ์พิเศษ
ความแตกต่างที่สำคัญ คือ คลังสินค้า ใช้ในเชิงพาณิชย์ มีการเคลื่อนย้ายสินค้าบ่อยและมีการเพิ่มมูลค่าผ่านการคัดแยกหรือบรรจุหีบห่อ ขณะที่ Storage มักใช้สำหรับการเก็บของระยะยาวโดยไม่มีการเคลื่อนย้ายบ่อยนัก

ในแง่ของการเข้าถึง คลังสินค้า มักมีการควบคุมการเข้าออกอย่างเข้มงวด ด้วยระบบรักษาความปลอดภัยที่ซับซ้อนและพนักงานดูแลตลอดเวลา ในขณะที่ Storage มักมีระบบรักษาความปลอดภัยที่เรียบง่ายกว่าและสามารถเข้าถึงได้สะดวกกว่า
คลังสินค้า
แม้ว่าทั้งสองจะมีจุดประสงค์หลักในการจัดเก็บสิ่งของ แต่ คลังสินค้า และ Storage มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแง่ของขนาด ความซับซ้อนในการบริหารจัดการ วัตถุประสงค์การใช้งาน และบทบาทในกระบวนการธุรกิจ ความเข้าใจในความแตกต่างนี้ช่วยให้ทั้งองค์กรและบุคคลเลือกใช้วิธีการจัดเก็บที่เหมาะสมกับความต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ

บริษัท โคโนอิเกะ คูล โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด มีความเชี่ยวชาญในการจัดการสินค้าได้หลากหลายประเภท ตั้งแต่อาหารสดไปจนถึงส่วนประกอบที่ต้องการความแม่นยำสูง รวมถึงการขนส่งพืชสำหรับการก่อสร้างโรงงาน ด้วยการให้บริการจาก KONOIKE EXPRESS ขนส่งแบบเหมาเที่ยวเหมาคัน จัดส่งได้ทุกวันทั่วไทย ไปทั่วราชอณาจักร ซับพอร์ตงานขนส่งได้ตลอด 24 ชม นอกจากนี้ยังให้บริการคลังสินค้าและการขนส่งควบคุมอุณหภูมิ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า แช่แข็ง แช่เย็น แห้ง (สามารถทำ อุณหภูมิที่ -18 ถึง +18 องศา) ซึ่งได้รับความไว้วางใจในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน
หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพิ่มเติม 

สามารถติดต่อบริษัทได้ที่ โทรศัพท์: 02-337-3013
Sales Department: 063-269-0135 (คุณสมคิด)
Sales Department: 061-393-7998 (คุณมินนี่)
Sales Department: 063-269-0136  (สายป่าน)

หรือ Line id: @495apobz และ อีเมล sa@kclt.konoike.net

แชร์บทความ หรือข่าวสาร

Facebook
Line
Mail

บทความที่เกี่ยวข้อง