กรมป่าไม้กล่าวว่า ในปัจจุบันการแปรรูปไม้ยังคงดำเนินการกันอย่างต่อเนื่อง เพราะไม้เป็นวัสดุจากธรรมชาติที่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย แต่ก่อนจะนำไปใช้งานจำเป็นต้องผ่านกระบวนการแปรรูปก่อน ในกรณีที่ไม่ใช่ไม้หวงห้ามนั้นไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนนำมาแปรรูป ยกเว้นการแปรรูปที่เข้าข่ายลักษณะการตั้ง โรง เลื่อย ไม้ แปรรูป หรือโรงงานแปรรูปไม้ ตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484
สำนักวิจัย และ พัฒนาการป่าไม้กล่าวว่า โรง เลื่อย หรือโรงงานแปรรูปไม้ (Sawmill) หมายถึง สถานที่ที่นำไม้ซุงที่ได้จากการตัดโค่นจากป่าธรรมชาติ หรือไม้ที่ตัดจากสวนป่าปลูก มาเลื่อยเพื่อแปรรูปให้เป็นไม้แผ่นกระดาน หากมีการใช้เลื่อยจักรวงเดือนจะเรียกว่าโรงเลื่อยจักร ซึ่งสถานที่ดังกล่าวจะต้องผ่านการขออนุญาตตั้ง โรง เลื่อย หรือโรงงานแปรรูปไม้ให้ถูกกฎหมายก่อน นับเป็นอุตสาหกรรมไม้ขั้นมูลฐานในการใช้ประโยชน์ไม้ท่อน ซึ่งไม้ที่ผ่านการแปรรูปแล้วมักจะขายได้ราคาดี เพราะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ได้ง่ายนั่นเอง
1.จัดหาวัตถุดิบ ก่อนอื่นผู้ประกอบการโรง เลื่อย ไม้ แปรรูป จะต้องจัดหาวัตถุดิบโดยการรับซื้อไม้หน้าโรงจากลูกค้า รับซื้อไม้จากจุดซื้อ หรือจัดการทำแปลงไม้ หากเป็น โรง เลื่อย ไม้ ยางพารา โดยเฉพาะ สามารถสั่งซื้อไม้ยางพาราจากเจ้าของสวนโดยตรง หรือแหล่งขายไม้ยางพาราอื่น ๆ ก็ได้
2.ตรวจสอบสินค้านำเข้า ในกรณีเป็นไม้นำเข้าจากต่างประเทศ เช่น ไม้สักนำเข้าจากประเทศเมียนมาร์ที่เดินทางขนส่งสินค้าโดยเรือ เมื่อมาถึงประเทศไทยแล้วจะต้องมีการแจ้งเพื่อขออนุญาตทำการขนถ่ายสินค้าจากเจ้าของไม้ โดยเจ้าหน้าที่ศุลกากรจะเดินทางมาบนเรือเพื่อตรวจปล่อยสินค้าโดยการเปิดระวาง ตรวจสอบชนิด ขนาด และ ปริมาณของไม้ให้ตรงตามเอกสารใบนำเข้าสินค้าเพื่อป้องกันการลักลอบทำผิดกฎหมาย และ เมื่อผ่านขั้นตอนนี้แล้วก็จะสามารถขนถ่ายสินค้าออกจากเรือใหญ่ได้
3.ขนส่งไม้ไปยังโรง เลื่อย หรือโรงงานแปรรูปไม้ หากเป็นไม้นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่เดินทางขนส่งสินค้าโดยเรือ เมื่อเดินทางถึงจุดหมายปลายทางแล้วจะถูกขนย้ายจากเรือลำใหญ่สู่เรือลำเล็ก และ บางส่วนอาจถูกลอยกลางน้ำเพื่อให้คนงานผูกเป็นแพไม้ขนาดใหญ่ เพราะถ้าหากนำไม้ไปกองไว้บนบกจะทำให้แตกได้ นอกจากนี้การแช่ไม้ไว้ในน้ำจะช่วยให้เนื้อไม้นิ่ม และ เลื่อยง่ายขึ้นอีกด้วย เมื่อขนย้ายไปถึงโรง เลื่อย ไม้ แปรรูปแล้ว ต้องทำบัญชีติดเลขสังกะสีหรือเลขไม้ให้เรียบร้อย จากนั้นนำเข้าสู่กระบวนการเลื่อยไม้หรือแปรรูปไม้ในขั้นตอนถัดไป
1.ขนาดของไม้ เป็นสิ่งสำคัญที่ โรง เลื่อย ไม้ แปรรูป หรือ โรง เลื่อย ไม้ ยางพารา จะต้องพิจารณาก่อนนำไม้มาแปรรูป ไม้ส่วนใหญ่ที่ใช้แปรรูปจะต้องมีขนาดใหญ่มากพอสมควร โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการใช้เนื้อไม้แท้ค่อนข้างมาก จำเป็นต้องเลือกไม้ที่มีส่วนของแก่นไม้มากกว่ากระพี้ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 8 นิ้วขึ้นไป ลำต้นควรมีลักษณะตรงเปลากลม ไม่คดงอ ในกรณีที่เป็นไม้ขนาดเล็ก และ ยังสดอยู่มักจะมีการโค้งงอในขณะเลื่อย และ มีการแตกร้าวค่อนข้างมาก จำเป็นต้องเลื่อยไม้ให้มีขนาดสั้น โดยมีความยาวประมาณ 1.50 – 2.50 เมตร และ ควรมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 6–9 นิ้ว
2.คุณภาพของไม้ ถือเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนเข้าสู่กระบวนการแปรรูปไม้ โดยไม้ที่จะนำมาแปรรูปใน โรง เลื่อย นั้นจำเป็นต้องเป็นไม้คุณภาพดี มีตำหนิน้อยที่สุด หรือไม่มีเลยยิ่งดี เพราะถ้าเป็นไม้ที่มีตำหนิเยอะจะทำให้ได้เนื้อไม้น้อยลง ส่งผลให้ผู้ประกอบการขาดทุน
3.แหล่งที่มาของไม้ เป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้ประกอบการควรทราบ เพราะไม้แต่ละพื้นที่มักจะมีลักษณะหรือคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น หากเป็นไม้ที่มาจากภูมิประเทศที่มีแมลงรบกวนมากก็อาจทำให้ไม้ที่ได้มีตำหนิเยอะ เพราะถูกแมลงกัดแทะหรือทำลาย แต่ถ้าหากเป็นไม้ที่มาจากป่าธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์จะทำให้ไม้ที่ได้มีคุณภาพดีมากขึ้น
การนำไม้ซุงเข้าสู่ โรง เลื่อย เพื่อแปรรูปเป็นไม้แผ่นกระดานจะมีวิธีการเลื่อยอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่จะมีอยู่ 2 วิธีที่ให้ผลผลิตสูงสุด และ ได้รับความนิยมมากที่สุด ดังนี้
1.การเลื่อยดะ (Through & Through) เป็นวิธีที่นิยมใช้ในงานอุตสาหกรรมไม้สำหรับทำเครื่องเรือนหรืองานฝีมือ หรืองานที่ต้องการเลื่อยไม้ขนาดเล็ก โดยขั้นตอนแรกจะนำไม้ซุงมาเลื่อยเปิดปีกออกด้านหนึ่งก่อน เสร็จแล้วทำการกลับไม้ซุง โดยด้านที่เปิดปีกวางบนแท่นเลื่อย จากนั้นลงมือเลื่อยตามขนาดที่ต้องการ วิธีนี้จะช่วยลดขั้นตอนการปรับเปลี่ยนด้านเพื่อเลื่อยไม้ลงได้ แต่ในขณะเดียวกันจะทำให้ได้ผลผลิตค่อนข้างน้อย เพราะมีการซอยข้างไม้แผ่นมากกว่าปกติ จึงทำให้สูญเสียเนื้อไม้มากขึ้น
2.การเลื่อยเปิดปีก 2 ข้าง (Cant sawing) เป็นการนำไม้ซุงเข้าสู่ โรง เลื่อย ไม้ แปรรูป เพื่อเลื่อยเปิดปีกทีละด้านจนได้ไม้เหลี่ยมที่สามารถนำไปเลื่อยออกตามขนาด และ คุณภาพที่ต้องการได้ ถือเป็นวิธีเลื่อยไม้ที่นิยมมากที่สุด เพราะมีการซอยข้างไม้แผ่นน้อย จึงทำให้อัตราส่วนของไม้แปรรูปที่ได้ค่อนข้างสูง และ ยังสามารถกำหนดความกว้างของไม้ตามความต้องการได้อีกด้วย