โดยปกติคนทำงานทั่วไปใช้เวลาวันละ 8 -10 ชั่วโมงอยู่ในออฟฟิศ เรานั้นใช้เวลาในชีวิตส่วนใหญ่หมดกับการไปทำงาน ซึ่งพฤติกรรมการทำงานแบบหักโหมเป็นปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ทั้งโรคที่เกิดขึ้นทางร่างกาย หรือแม้แต่โรคทางจิตใจด้วย เราจึงนำอาการต่าง ๆ ที่มักจะเกิดกับคนที่ทำงานมาให้สังเกตว่าเกิดขึ้นกับตัวเองหรือยัง
1. ใช้ข้อม้อมือหนัก ๆ จนเกิดอาการชา
ถ้าใช้ข้อม้อมือหนัก ๆ จนเกิดอาการชา หรือปวดที่นิ้วมือและฝ่ามือ ลามไปจนถึงไหล่ บางครั้งกำมือได้ไม่แน่น อาจจะหมายความว่าคุณเริ่มมีอาการ โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ
Credit : pobpad
โรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome – CTS): สำหรับคนทำงานส่วนใหญ่ที่ต้องใช้มือในการทำงาน มักจะมีโรคที่เกิดจากการใช้มือสัมผัสในการทำงาน
- กลุ่มที่ต้องระวัง: คนที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ทำงาน หรือคนที่ใช้ข้อมือหนัก
- จุดสังเกต: มักจะมีอาการชา หรือปวดที่บริเวณนิ้วมือ ฝ่ามือ ลามไปถึงหัวไหล่ โดยอาการมักจะเกิดตอนที่ใช้ข้อมือหนัก ๆ จนทำให้กล้ามเนื้อมืออ่อนแรง ไม่สามารถกำมือได้แน่น
- สาเหตุ: การใช้ข้อมือในท่าทางเดิมเป็นประจำ มีการใช้ข้อมือหนัก ๆ เช่น เวลาพิมพ์คีย์บอร์ด หรือตอนควบคุมเมาส์โดยข้อมือมีการเสียดสีกับพื้นโต๊ะตลอดเวลา
- การป้องกันและการรักษา: หากอาการยังไม่รุนแรง เบื้องต้นให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้มือ ลองหาอุปกรณ์มารองรับ หรือทำการประคบร้อน กดนวดบริเวณผังผืดที่กดทับเส้นประสาท การยืดเส้นประสาท แต่หากเริ่มมีอาการหนักขึ้นอาจต้องไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา
2. จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน
ถ้าจ้องคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์ที่มีจอต่าง ๆ นานกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน จนมีอาการตาล้า ตาแห้ง สู้แสงไม่ได้จนเกิดอาการปวดหัว อาจเป็นอาการของ โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม
โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome - CVS): มักเกิดกับคนทำงานผ่านหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือ ซึ่งการทำงานที่ต้องใช้ตามองสิ่งเหล่านี้เป็นเวลานาน มักจะทำให้เกิดปัญหาตามมา
- กลุ่มที่ต้องระวัง: คนที่ต้องทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานเกิน 2 ชั่วโมง
- จุดสังเกต: ดวงตาล้า ดวงตาแห้ง รู้สึกแสบตา และดวงตาไม่สามารถสู้แสงได้ รวมถึงดวงตาไม่สามารถโฟกัสได้ ทั้งนี้อาจมีอาการปวดหัว ปวดคอ และบ่ารวมด้วย
- สาเหตุ: การใช้คอมพิวเตอร์ที่มีแสงสว่างบนหน้าจอมากเกินไป การมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ในระยะใกล้ชิดและเป็นระยะเวลานาน โดยไม่มีการพักสายตา รวมถึงการมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ในระดับที่ไม่เหมาะสมกับระดับสายตา
- การป้องกันและการรักษา: ควรจะพักสายตาบ่อย ๆ และหมั่นกระพริบสายตา อีกทั้งปรับความสว่างของแสงบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม และระดับหน้าจอให้เหมาะสมกับระดับสายตา คือศูนย์กลางหน้าจอควรต่ำกว่าระดับสายตา 4-5 นิ้ว หรือ 15 – 20 องศา และควรวางห่างจากสายตาประมาณ 20-28 นิ้ว ทั้งนี้หากยังมีอาการรุนแรงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษา
3. ก้มหน้าทำงานในท่าเดิม ๆ
โรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม อาจจะเกิดขึ้นกับคนทำงานที่นั่งก้มหน้าทำงานอยู่ในอิริยาบถเดิม ๆ จนเกิดอาการปวดคอ แล้วเริ่มลุกลามไปที่บ่า หลัง จนถึงแขน
Credit : frpt4pain
โรคหมอนรองกระดูกคอเสื่อม: การนั่งทำงานเป็นระยะเวลานานของเหล่าคนทำงาน มักจะทำให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับคอและหลัง โดยโรคนี้คนทำงานออฟฟิศมักจะเป็นกัน
- กลุ่มที่ต้องระวัง: คนที่ต้องนั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน หรือคนที่มีพฤติกรรมชอบบิดคอ หมุนคอ
- จุดสังเกต: ปวดบริเวณคอ ไหล่ และบ่า บางครั้งอาจมีอาการปวดร่วมกันจนทำให้อาการหนักขึ้นคือลามไปกดทับเส้นประสาท ทำให้อาการปวดลามไปถึงแขน เริ่มมีอาการชา กล้ามเนื้ออ่อนแรง และหากไปกดทับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจะทำให้รู้สึกปวดหัว ปวดกระบอกตา และรู้สึกบ้านหมุน
- สาเหตุ: มีพฤติกรรมการใช้คอและกล้ามเนื้อแผ่นหลังที่ผิดลักษณะ เช่น การบิดคอ การนั่งก้มหน้าทำงานเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ
- การป้องกันและการรักษา: หากต้องนั่งทำงานเป็นระยะเวลานานให้ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยหมั่นยืดกล้ามเนื้อบ่อย ๆ ไม่ควรโน้มศีรษะอ่านหนังสือเป็นเวลานานเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอทำงานหนักกว่าปกติควรยกหนังสือให้ตั้งขึ้นในระดับสายตา ในกลุ่มคนที่อาการยังไม่รุนแรงสามารถรักษาด้วยการรับประทานยา ทำกายภาพบำบัด หรือรักษาโดยใช้คลื่นวิทยุความถี่สูง (Nucleoplasty)
4. สมาธิสั้นจากการทำงาน
โรคสำหรับคนทำงานอาจไม่ได้แสดงออกทางร่างกายอย่างเดียว โรคสมาธิสั้นจากการทำงาน จะทำให้มีความอดทนต่ำ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การแบ่งเวลา และจัดลำดับ ความสำคัญต่อสิ่งต่าง ๆ ลดลง
โรคสมาธิสั้นจากการทำงาน (Attention Deficit Trait – ADT): การทำงานที่ต้องใช้สมองในการคิดงานอยู่เกือบตลอดเวลา อาจทำเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับภาวะจิตใจและสมอง
- กลุ่มที่ต้องระวัง: ทุกคน
- จุดสังเกต: ไม่สามารถจดจ่อกับอะไรบางอย่างได้นาน ความอดทนต่ำ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ แก้ไขปัญหา ความคิดสร้างสรรค์ การแบ่งเวลา และจัดลำดับ ความสำคัญต่อสิ่งต่าง ๆ ลดลง รวมถึงมีอาการเครียด กังวล และคิดถึงปัญหาอยู่ตลอดเวลาโดยไม่แสดงออก
- สาเหตุ: สภาพแวดล้อมในการทำงานที่บีบคั้น วุ่นวาย ต้องรับผิดชอบงาน ภาวะกดดัน เครียด ประกอบกับชีวิตที่เร่งรีบต้องทำทุกอย่างเพื่อแข่งกับเวลา
- การป้องกันและการรักษา: พักผ่อน หรือหาวิธีผ่อนคลาย อาจเปลี่ยนอิริยาบถหากรู้สึกว่าทำงานติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน และควรมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง รวมถึงพยายามจัดลำดับความสำคัญ แบ่งเวลาให้กับการทำงานอย่างเหมาะสม ทั้งนี้หากรู้สึกไม่ดีขึ้นให้ไปลองพูดคุยและปรึกษาจิตแพทย์
การขยันทำงานเป็นเรื่องที่ดี แต่การดูแลรักษาสุขภาพก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน อย่าทำงานบนความเคยชิน และละเลยต่ออาการต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นเหล่านี้ เพราะหากเรามองเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่อาจตามมาคือความเสื่อมถอยของร่างกาย และจิตใจ นำไปสู่โรคต่าง ๆ ดังนั้นลองให้เวลาตัวเองสำรวจความผิดปกติของร่างกาย จะได้รู้ว่าร่างกายของเราเริ่มส่งสัญญาณเตือนอะไรมาให้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไข