Cost per Order (CPO) คือ ตัววัดทางการตลาดที่ใช้วัดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อมีการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ ซึ่ง CPO มักจะใช้ในการวัดประสิทธิภาพของกิจกรรมการตลาดออนไลน์ เช่น การโฆษณาออนไลน์ โฆษณาทางโซเชียลมีเดีย หรือการทำ SEO
สูตรการคำนวณ CPO คือ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่ใช้ในการตลาด (เช่น ค่าโฆษณา ค่าจ้าง SEO) แล้วนำมาหารด้วยจำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมด ตัวเลขที่ได้จะแสดงถึงราคาที่ต้องจ่ายต่อการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการ นั่นหมายความว่า CPO ยิ่งต่ำแสดงถึงความประสบความสำเร็จในการเพิ่มยอดขายโดยมีค่าใช้จ่ายในการตลาดที่น้อยลง
Cost per Order (CPO) ช่วยเราในเรื่องต่าง ๆ ได้หลายประการ
1.วิเคราะห์ประสิทธิภาพการตลาด
CPO เป็นตัววัดที่ชัดเจนในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของกิจกรรมการตลาดต่าง ๆ โดยให้ข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างค่าใช้จ่ายในการตลาดและรายได้ที่เกิดขึ้น ทำให้เราสามารถปรับแก้แผนการตลาดให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
การทราบ CPO ช่วยให้เราสามารถวางแผนงบประมาณในการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเราสามารถกำหนดจำนวนเงินที่เหมาะสมที่จะลงทุนในกิจกรรมตลาดแต่ละประเภทได้ตาม CPO
3.การตัดสินใจเกี่ยวกับกิจกรรมตลาด
ข้อมูล CPO ช่วยให้เราสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับกิจกรรมตลาดที่เราควรทำหรือไม่ทำในอนาคต โดยการเปรียบเทียบกับประสิทธิภาพของกิจกรรมตลาดแต่ละชนิดและประสิทธิภาพในการลงทุน
4.เชื่อมโยงกับผลกระทบของกิจกรรมอื่น ๆ
CPO ยังช่วยให้เราเข้าใจผลกระทบของกิจกรรมตลาดต่อกิจกรรมอื่น ๆ ในองค์กร เช่น การสื่อสารตลาดสามารถมีผลต่อการขายโดยตรง การเข้าเว็บไซต์ หรือยอดกำไรสุทธิทั้งหมด
ดังนั้น CPO เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจเกี่ยวกับกิจกรรมตลาดขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและมีเสถียรภาพ