จากสถิติในปัจจุบัน ได้มีแฮกเกอร์เป็นจำนวนมาก ที่คอยเจาะระบบเว็บไซต์ และโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อล้วงข้อมูลที่สำคัญของบุคคล เมื่อแฮกเกอร์ขโมยข้อมูลประจำตัว Digital ไปแล้ว มีโอกาสที่แฮกเกอร์จะนำข้อมูลที่ได้นำไปใช้หาประโยชน์ทางด้านอื่นอีก เช่นนำไปก่อภัยไซเบอร์ที่เรียกว่า Social Engineer หรือ เอาไปทำ Phishing เป็นต้นซึ่งหากข้อมูลถูกขโมยไปแล้ว กว่าจะแก้ไขได้คงต้องใช้เวลานาน และความเสียหายอาจเป็นจำนวนที่มากจนคิดไม่ถึง
การป้องกันเว็บไซต์เพื่อให้ปลอดภัยจากผู้ไม่ประสงค์ดี (hackers) เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ และรักษาความเชื่อถือของเว็บไซต์ นี่คือบางวิธีที่สามารถใช้เพื่อเสริมความปลอดภัยของเว็บไซต์
1. ใช้ HTTPS

การใช้โปรโตคอล HTTPS ช่วยเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งผ่านระหว่างเว็บเซิร์ฟเวอร์ และเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ ทำให้ข้อมูลที่ส่งผ่านเว็บไซต์มีความปลอดภัยมากขึ้น
2. ปรับค่าความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์

การตั้งค่าความปลอดภัยของเซิร์ฟเวอร์ เช่น การปิดการใช้งานบริการที่ไม่จำเป็น การปรับค่าความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการ และการติดตั้งอัพเดตเพื่อปรับปรุงความปลอดภัย
3. อัพเดตซอฟต์แวร์

อัพเดตซอฟต์แวร์ทั้งเซิร์ฟเวอร์ และเว็บแอปพลิเคชันเป็นความสำคัญ เพื่อปิดช่องโหว่รั่วไหลที่อาจถูกใช้โดยผู้ไม่ประสงค์ดี
4. การตรวจสอบประเภทโจมตี

การตรวจสอบประเภทของการโจมตีที่เว็บไซต์อาจถูกเผชิญ เช่น การสแกนช่องโหว่ การโจมตี SQL Injection การโจมตี Cross-Site Scripting (XSS) เป็นต้น และนำมาป้องกันด้วยวิธีที่เหมาะสม
5. การใช้งานระบบความปลอดภัยเพิ่มเติม

เช่น การใช้งาน Web Application Firewall (WAF) Intrusion Detection System (IDS) Intrusion Prevention System (IPS) เพื่อตรวจจับ และป้องกันการโจมตี
6. การสร้างระบบการรับมือกับภัยคุกคาม

การสร้าง และประยุกต์ระบบการรับมือกับภัยคุกคาม (Incident Response Plan) เพื่อรับมือกับการเจาะเว็บไซต์ หรือ การโจมตีอื่นๆ อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
7. การอบรม และการเข้าใจความปลอดภัย

การอบรมพนักงาน และผู้พัฒนาให้เข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันภัยของเว็บไซต์ เช่น วิธีการใช้งานโปรแกรมป้องกัน และวิธีการจัดการรหัสผ่านอย่างปลอดภัย เป็นต้น