ในยุคที่มาตรฐานอาหารทั่วโลกเข้มงวดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การมี “ระบบตรวจวัตถุแปลกปลอม” ถือเป็นหัวใจสำคัญของทุกโรงงานอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผัก ผลไม้แปรรูป เบเกอรี่ ซอส อาหารแช่แข็ง หรืออาหารพร้อมรับประทาน เพราะการปนเปื้อนแม้เพียงชิ้นเล็ก ๆ สามารถนำไปสู่ความเสียหายรุนแรงทั้งด้านต้นทุน แบรนด์ และการทำธุรกิจในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายโรงงานที่ยังลังเล หรือมองว่าเครื่องตรวจวัตถุแปลกปลอม เช่น “เครื่องตรวจจับโลหะ” หรือ “เครื่อง X-Ray อาหาร” เป็นเพียงค่าใช้จ่าย ไม่ใช่การลงทุน แต่ความจริงคือ การไม่มีเครื่องตรวจวัตถุแปลกปลอม คือ “ความเสี่ยงมหาศาล” ที่อาจทำให้โรงงานต้องจ่ายแพงกว่าที่คิด
บทความนี้จะพาคุณดูว่า “ถ้าโรงงานไม่มีเครื่องตรวจวัตถุแปลกปลอม นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้น” พร้อมแนวทางป้องกันโดยใช้โซลูชันจาก Siam Paragon Solutions ที่ออกแบบมาให้ครอบคลุมทุกประเภทอุตสาหกรรมอาหาร
1. ความเสี่ยงของการเกิดสินค้าถูกรีคอล (Recall) – ค่าเสียหายหลักล้านถึงหลักสิบล้าน
การรีคอลสินค้าเป็นเหตุการณ์ที่โรงงานอาหารทุกแห่งไม่อยากเผชิญ เพราะนำไปสู่การสูญเสียทั้ง
- สินค้าที่ต้องถูกทำลาย
- ค่าปรับ
- ค่าชดเชยลูกค้า
- ความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือ
- การค้างสต็อก
- การหยุดสายการผลิต
หากไม่มี เครื่องตรวจจับโลหะ หรือ เครื่อง X-Ray โรงงานจะไม่มีทางรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ปนอยู่ในสินค้า และจะถูกค้นพบเมื่อสายเกินไป

2. เสียคู่ค้าระยะยาว โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ
ประเทศที่เข้มงวดที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น ยุโรป เกาหลี อเมริกา โดยลูกค้ากลุ่มนี้จะปฏิเสธสินค้า ทันที หากพบวัตถุแปลกปลอมเพียงชิ้นเดียว และหลายครั้งอาจยกเลิกสัญญาทั้งหมด เพราะมองว่าโรงงาน “ไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้” ในหลายประเทศ การไม่มีเครื่องตรวจอาหารถือว่า “ไม่ผ่านมาตรฐานส่งออก” ตั้งแต่ต้น
มาตรฐานที่เครื่องตรวจวัตถุแปลกปลอมจำเป็นต้องรองรับ
- HACCP
- GMP
- ISO22000 / FSSC22000
- BRC / IFS
- กฎระเบียบประเทศปลายทาง (Japan / EU / Korea Standard)
3. ความเสี่ยงต่อผู้บริโภค → นำไปสู่คดีความและค่าชดเชยจำนวนมาก
ถ้าวัตถุแปลกปลอมหลุดไปถึงมือผู้บริโภค อาจนำไปสู่
- ลูกค้าบาดเจ็บ
- การร้องเรียน
- การฟ้องร้องทางกฎหมาย
- การเผยแพร่ข่าวทางโซเชียล
- ทำลายภาพลักษณ์แบรนด์ในระยะยาว
4. ต้นทุนการตรวจด้วยแรงงานคนมีโอกาสผิดพลาดสูงถึง 30–50%
หลายโรงงานยังใช้แรงงานคนในการคัดกรองวัตถุแปลกปลอม แต่มีข้อจำกัดชัดเจน
- คนมองไม่เห็นชิ้นเล็กกว่า 2–3 มม.
- อาหารสีใกล้เคียงกันทำให้ตรวจไม่เจอ
- พนักงานเมื่อเหนื่อย ความแม่นยำลดลง
- ไม่สามารถบันทึกประวัติการตรวจสอบได้
- ตรวจได้ไม่สม่ำเสมอ
- ตรวจในแพ็กฟอยล์หรือถุงสุญญากาศไม่ได้

5. ไม่ผ่านมาตรฐานโรงงาน ทำให้เสียโอกาสรับงานส่งออก
หลายโรงงานที่ต้องการเป็นผู้ผลิต (OEM) ให้แบรนด์ใหญ่จำเป็นต้องมีระบบตรวจวัตถุแปลกปลอมเป็น ข้อบังคับ หากไม่มีจะถูกปฏิเสธทันที แม้โรงงานจะมีคุณภาพการผลิตอื่น ๆ ดีแค่ไหนก็ตาม
6. ไม่สามารถตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) เมื่อเกิดปัญหา
หากเกิดเหตุวัตถุแปลกปลอมปนเปื้อน โรงงานต้องสามารถตอบคำถามพื้นฐานได้ เช่น
- สินค้าชุดไหนมีปัญหา?
- ผ่านเครื่องตรวจรุ่นใด?
- ตรวจพบเวลาใด?
- ใครเป็นผู้ตั้งค่าระบบ?
- ไลน์ผลิตมีเหตุขัดข้องหรือไม่?
หากไม่มีการบันทึกข้อมูลจากเครื่องตรวจอาหาร จะไม่สามารถสืบย้อนกลับได้ ทำให้สื่อสารกับลูกค้าไม่ได้ และเสียความเชื่อมั่น
7. ต้นทุนโดยรวมสูงขึ้นมากกว่าการลงทุนเครื่องตรวจอาหาร
ต้นทุนที่โรงงานต้องเสีย “เมื่อไม่มี” เครื่องตรวจวัตถุแปลกปลอม ได้แก่
- ค่าทำลายสินค้า
- ค่าเรียกคืนสินค้า
- ค่าชดเชยลูกค้า
- ค่าปรับตามสัญญา
- ค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย
- การหยุดผลิตโดยไม่ตั้งใจ
- การเสียลูกค้าระยะยาว
- การเสียโอกาสรับงานใหม่
แล้วเครื่องตรวจวัตถุแปลกปลอมแบบไหนที่โรงงานควรมี?
- Metal Detector เหมาะกับวัตถุดิบก่อนบรรจุ เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง ผัก อาหารทะเล
- X-Ray Inspection เหมาะกับสินค้าบรรจุและตรวจวัตถุที่ไม่ใช่โลหะ เช่น กระดูกปลา แก้ว พลาสติกแข็ง หิน ยาง เข็มในหมู

การมี เครื่องตรวจจับโลหะ และ เครื่อง X-Ray ตรวจวัตถุแปลกปลอม จึงไม่ใช่ต้นทุน แต่เป็น “การป้องกันโรงงานจากความเสียหายมหาศาล” และเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับผู้ผลิตอาหารยุคใหม่ หากโรงงานของคุณต้องการยกระดับความปลอดภัย ลดความเสี่ยง และเพิ่มความเชื่อมั่นให้ลูกค้าทั้งในไทยและต่างประเทศ Siam Paragon Solutions พร้อมให้คำปรึกษา ออกแบบระบบ และทดสอบเครื่องจริงกับไลน์ผลิตของคุณ
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
โทร. : +66(0)2-394-9932
มือถือ : +66(0)99-827-0078
Email : [email protected]
Website : Siam Paragon Solutions Co.,Ltd.


