มีสินค้าดีแต่การตลาดไม่ดีมันก็จบ สินค้าไม่เวิร์คแม้การตลาดดีแค่ไหนช่วงแรกอาจจะพอไปได้ แต่สุดท้ายธุรกิจนี้จะมาตายเพราะสินค้า ทั้งสินค้าและการตลาดต้องสอดประสานกันอย่างลงตัว จึงจะทำให้ธุรกิจเดินไปข้างหน้าได้ ส่วนจะไปได้ไกลแค่ไหน เร็วแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้เป็นเบื้องต้นครับ
7 ขั้นตอน สู่แผนการตลาดขั้นเทพ
Step ที่ 1 : กำหนดกลุ่มเป้าหมายลูกค้า
ต้องบอกว่านี่เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในเรื่องของการตลาดครับ เราต้องกำหนดกลุ่มลูกค้าชัดเจน ความผิดพลาดที่สำคัญคือ เรามักจะสร้างสินค้าก่อนที่จะสร้างลูกค้าขึ้นมา ทำให้สินค้าที่ผลิตออกมาแล้วไม่มีลูกค้า สุดท้ายก็เจ๊ง
Step ที่ 2 : วางตำแหน่งสินค้าหรือบริการ
ต้องรู้นะครับว่าเวทีสินค้า บริการของเราอยู่ตรงไหน และเราจะเป็นที่ 1 ในเวทีนั้นได้อย่างไร ลูกค้าจะจดจำว่าเราเป็นใคร อย่างไร ก็อยู่ที่ขั้นตอนนี้ครับ ถ้าสินค้าเราเป็น สเปร์ยฉีด เท้าเหม็น เราก็ต้องโฟกัสที่ “เท้า” ไม่ใช่นำเสนอที่ “หน้า” นะครับ ผิดจุด ผิดที่ ผิดตำแหน่งทางการตลาด
Step ที่ 3 : พัฒนาเรื่องสื่อในการสื่อสารทางการตลาด
ต้องถามตัวเราเองว่าก่อนตัดสินใจซื้อหรือใช้บริการเราตัดสินด้วยอะไรบ้าง ใจเขาใจเราครับ เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกค้าได้รู้จักสินค้าเรา เครื่องมือที่เราจะต้องสร้าง พัฒนา หรือ เข้าร่วมกิจกรรมเช่น สร้างเว็บไซต์ หน้าแฟนเพจ Facebook , Line@ , สร้างคลิป upload ถามว่าแค่นี้พอไหม อาจจะได้แต่ยังไม่พอครับ อย่าลืมว่ามีงานที่เป็นออฟไลน์เช่น ออกอีเว้นท์ ,ทดลองขายตลาดนัด ฯ นี่ก็เป็นอีก 1 ช่องทางเพื่อสร้างการรับรู้นะครับ
Step ที่ 4 : กำหนดเป้าหมายยอดขาย มีตัวชี้วัดความสำเร็จที่ประเมินผลได้
ยอดขายต้องได้เท่าไหร่ ว่าสำคัญแล้วนะครับ แต่….ทำอย่างไรให้ได้ยอดขายตามนั้นสำคัญยิ่งกว่าเยอะครับ ต้องมีการวางแผน ว่าต้องลงมือทำอะไรบ้าง 1,2,3,4…….และแต่ละขั้นตอนเหล่านั้นจะวัดผลประเมินความสำเร็จได้อย่างไร เช่น มีการกำหนดว่าในแต่ละวันต้องมีการโทรหาลูกค้าให้ได้อย่างน้อย 15 คน นี่เป็นการกำหนดการกระทำ และปิดการขายให้ได้อย่างน้อย 3 คน ถ้าโทรได้ 15 คนถือว่างานได้ “ประสิทธิภาพ” และหากปิดการขายได้ 3 คนก็ถือว่างานนี้มี “ประสิทธิผล”กำหนดเป้าหมายให้มี “ประสิทธิภาพ” และลงมือทำให้เกิด “ประสิทธิผล” วัดได้นะครับ
Step ที่ 5 : เข้าถึงตัวกลางสื่อทั้งออฟไลน์และออนไลน์
ตัวอย่างตัวกลางสื่อออนไลน์เช่น pantip.com หรือ webboard เกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าบริการของเรานะครับ ส่วนออฟไลน์ อย่างเช่น นิตยสาร หนังสือพิมพ์ ฯ สร้างจุดสนใจให้สื่อนี้วิ่งมาหาเรา หรือ หากเขายังไม่รู้จักเราก็หาเรื่องทำให้เขารู้จัก วิ่งเข้าไปหาเขาเสียเลยก็ทำได้นะครับ สื่อกลางเหล่านี้จะทำให้สินค้า บริการ ของเราเป็นที่รู้จักของลูกค้าได้เร็วยิ่งขึ้น หากโดนก็ดังเป็นพรุแตก
Step ที่ 6 : สร้างชุมชน Community ให้กับลูกค้า
สำหรับผมแล้ว “ลูกค้า” คือ “พนักงานขาย” ที่ดีที่สุดของการทำธุรกิจ การที่ลูกค้าบอกต่อ ปากต่อปาก มันเป็นการขายที่ไม่ได้มีผลประโยชน์แอบแฝงใด ๆ ครับ ไม่มีเรื่องของค่าคอมฯ หรือยอดขาย ทุกอย่างเกิดจากความ “พอใจ” ที่จะบอกให้เพื่อน ให้ญาติ ได้มีโอกาสใช้สิ่งดี ๆ เหมือนที่เขาได้ใช้ ถามว่าแล้วจะสร้างสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร คำตอบเบื้องต้น ตามที่ผมแนะนำขั้นตอนที่ 3 ครับ เราต้องมี “เครื่องมือ” ที่จะใช้ในการสื่อสารทางการตลาดครับ ใช้พื้นที่เหล่านั้นเป็นพื้นที่ระหว่าง “ลูกค้า” กับ “เจ้าของธุรกิจ” อย่าเป็นเพียงการสื่อสารทางเดียว
Step ที่ 7 : อย่ามีแต่แผนแต่ไม่ลงมือทำ (สรุป)
แผนที่ดีที่สุดคือการ “ลงมือทำ” แผนดี เขียนดี แต่ไม่นำไปใช้ มันก็แค่เศษกระดาษหนึ่งใบทิ้งลงไปในถังขยะ หรือ เผาทิ้งไปแล้วก็ยังไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยครับ ลงมือทำครับ จะผิดบ้างถูกบ้าง…. เพราะเราอาจจะวางแผนทุกอย่างมาดีเยี่ยมแต่ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้กับทุกสิ่งครับ ยิ่งเป็นเรื่องธุรกิจด้วยแล้ว มีให้เห็นตลอดเส้นทาง แต่ที่สำคัญคือ ปัญหาใหญ่ ๆ เราได้มีการวางแผนป้องกันไว้มากน้อยขนาดไหนเท่านั้นเองครับ
เขาว่ากันว่า “นักรบ” ที่เก่งที่สุดไม่ใช่คนที่ขึ้นเวทีแล้วจะชนะ แต่อยู่ที่การฝึกซ้อมอย่างหนักครับ เมื่อขึ้นเวทีเจอคู่แข่งอะไรมันก็เกิดขึ้นได้ 50/50 ใครซ้อมมาดีกว่า ใครเจอปัญหามามากกว่า ใครเจนจัดเวทีมากกว่าคนนั้นมีโอกาสชนะ
ที่มา: www.taokaemai.com