ในส่วนของงานด้าน โลจิสติกส์นั้น มีการเปลี่ยนแปลงและได้รับการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา การที่เราจะตามเทรนด์สมัยใหม่ให้ทัน หรือ ได้นำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในสายงาน เข้ามาปรับใช้ในทุก ๆ อย่างนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก บริษัทขนส่งต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องการความยืดหยุ่นมากกว่าเมื่อก่อน
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะ ผู้นำเองก็ต้องเอาข้อมูลมาใช้ในการที่จะตัดสินใจ และ ได้รับการพัฒนาคุณภาพของงานขนส่งต่อไปในระยะยาว เทคโนโลยีในตอนนี้ไปไกลกว่าความสามารถของมนุษย์อย่างเรามาก ฉะนั้นการที่จะนำเอา เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ อะไรมาใช้ จะต้องคิดให้ถี่ถ้วนก่อน
ซึ่งจากการศึกษาได้พบว่า 81% ของบริษัทต่าง ๆ ได้มีการวางแผนที่จะรำเอาเทคโนโลยี หรือ ซอฟแวร์มาใช้ภายใน 2 ปี ส่วนในขณะอีก 84% นั้นได้บอกว่าอยากนำเอาระบบอัตโนมัติมาใช้ และคำถามสำคัญคือ การพัฒนาที่สำคัญที่สุดในอุตสาหกรรมนั้นคืออะไร? มีโซลูชั่นที่ล้ำสมัยมากที่ควรจะพิจารณาที่นี่ ดังนั้น โปรดอ่านเพื่อศึกษาเรียนรู้ 7 เทคโนโลยี ที่เป็นกุญแจสู่การขนส่งที่มีประสิทธิภาพกัน
1.Dynamic Route Planning Systems
การบริการ Fleet รถในโลจิสติกส์นั้น เป็นกระบวนการที่ได้กินต้นทุนซะส่วนใหญ่ ซึ่งการวางแผนที่ดี และมีการทำ Optimization จะเป็นตัวทำให้การบริหารต้นทุนของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนั้น ระบบ Dynamic Route Planning Systems ก็ยังสามารถที่จะทำให้ระยะเวลาในการจัดส่งสินค้านั้นสั้นลงได้ ช่วยในเรื่องของการลดต้นทุน และ ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งสินค้าในระบบเดียว
2.Artificial Intelligence (AI)
AI ที่เราคุ้นเคยกัน คือ เทคโนโลยีที่ใช้โรบอทหรือหุ่นยนต์ เข้ามาควบคุมการทำงานโดย AI นั้นปัจจุบันได้เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากโดยเฉพาะสายงานด้านโลจิสติกส์ ถึงแม้จะมีบุคคลส่วนหนึ่งที่ไม่พอใจอยู่บ้าง ที่ AI นั้นจะเข้ามาทำงานแทนคน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เทคโนโลยีนี้ได้เข้ามาปฏิวัติวงการ การทำงานในหลายๆอย่าง ทั้งด้านตั้งแต่การวางแผนกำลัง การจัดการคลังสินค้า รวมไปถึงกระบวนการอื่น ๆ ใน Supply Chain ซึ่ง AI จะเข้ามาทำงานในลักษณะงานซ้ำ ๆ ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อย เช่นงานคีย์ข้อมูล เป็นต้น
3.Conversational system
หนึ่งอย่างที่เราจะได้รับจากการใช้ AI ก็คือระบบการสนทนา หรือ แชทบอท หน้าที่ก็คือช่วยงานในส่วนของการตอบคำถามต่าง ๆ ของลูกค้า รวมถึงเรียนรู้เองได้เรื่อย ๆ เมื่อมีลูกค้าได้เข้ามาสอบถามบ่อยๆ ยิ่งเข้ามาพูดคุยบ่อยเท่าไหร่ ระดับความฉลาดและตอบคำถามลูกค้า จะแม่นยำขึ้น ช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์ของลูกค้า และ ระบบนี้ ยังสามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการอื่น ๆ อีกด้วยเช่น การชำระค่าสินค้าและบริการ การตรวจสอบสถานะสินค้า การยืนยันคำสั่งซื้อ
4.Internet of Things
IoT นั้น เข้ามามีบทบาทเป็นอย่างมากในสมัยปัจจุบัน ด้วยคอนเซปที่เอาอุปกรณ์ต่างๆเชื่อมต่อถึงกันผ่านระบบ internet ซึ่งจะเป็นการทำให้เกิดการสื่อสารกัน และ เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างอุปกรณ์
5.Augmented Reality?
AR นั้นที่เราคุ้นเคย คือ เทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนวิธีการทำโลจิสติกส์ เป็นเครื่องมือที่สำคัญต่อการวางแผน และ ส่งมอบที่ตรงเวลา ซึ่งมีคุณสมบัติหลัก ๆ ของ AR ในโลจิสติกส์อยู่ 4 อย่าง
5.1 Warehouse operations
แม้ว่าจะดูเป็นเทคโนโลยีใหม่ แต่ AR นั้นได้พิสูจน์อย่างชัดเจนแล้วว่า สามารถพัฒนากระบวนการหยิบสินค้าได้
5.2 Transportation optimization
สามารถช่วยประสิทธิภาพการขนส่งในส่วนของการนำทางพนักงานขับรถ การตรวจสอบความถูกต้องในส่วนของการขนส่ง การโหลดสินค้า และ การค้าต่างๆระหว่างประเทศ
5.3 Drop-offs optimization
อุปกรณ์ AR นี้สามารถที่จะระบุตำแหน่งสินค้าในรถขนส่งได้อย่างชัดเจน ทำให้ไม่เกิดความลังเลต้องใช้ความจำว่า กล่องไหนเป็นกล่องไหน หรือเป็นของออเดอร์อะไร
5.4 Enchaned value-added services
บริษัทโลจิสติกส์นั้น สามารถใช้ AR นี้ ออกแบบบริการใหม่ ๆ ให้แก่บริษัทของเรา เช่น บริการซ่อมบำรุง หรือ บริการประกอบติดตั้งสินค้าได้ด้วย
6.Autonomouse vehicals
เทคโนโลยีนี้อาจจะดูโอเวอร์หรือเหมือนไปหนังมากไปสักหน่อย แต่ ระบบ นี้ คือ รถยนต์ไร้คนขับนั้นมีอยู่จริง เริ่มนำเอาเข้ามาใช้งานในสายงานโลจิกติกส์แล้วบางส่วน ซึ่งเทคโนโลยีตัวนี้เข้ามาทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพมากขึ้น มาช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลและลดการเกิด Downtime
ซึ่งระบบนี้ได้มีการศึกษาว่าหากเราเอาข้อมูลรถยนต์ไร้คนขับเข้ามาใช้งานในส่วนของโลจิสติกส์ทั้งหมด จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการได้มากถึง 45%เลยทีเดียว อาจจะตีเป็นเงินคร่าวๆเป็นถึง 85,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถึง 125,000 ล้านเหรียญสหรัฐเลย
ในกรณีนี้ทำไมถึงสามารถลดต้นทุนได้ถึงขนาดนั้นคือ หลักการมันมีอยู่ว่า รถยนต์ไร้คนขับพวกนี้ทำงานโดยไม่จำเป็นต้องหยุดพัก และ ไม่สนใจสภาพอากาศ ไม่สิ้นเปลืองพลังงานน้ำมัน และยังช่วยเรื่องประสิทธิภาพในการขนส่ง การคลัง และ ความปลอดภัยกับเจ้าหน้าที่พนักงานขับรถอีกด้วย เมื่อนำทุกอย่างมาคำนวณเป็นเงินแล้ว จึงไม่แปลกใจว่าทำไมเทคโนโลยีนี้ จึงมีคุณภาพ
7.Big data for predictive analytics
Big data กำลังที่จะก้าวหน้าไปอีกขั้น ในสายงานด้านโลจิสติกส์ อันเนื่องมาจากมีการวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ เพราะปัจจุบันนี้ข้อมูลนั้นมีมากมาย เราเพียงแค่ต้องการแพลตฟอร์มที่จะช่วยจัดกาข้อมูล ระบุข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ส้รางข้อสรุปที่ดี และ เกี่ยวข้องกับธุรกิจเท่านั้น ซึ่งวิธีนี้ บริษัทโลจิสติกส์สามารถที่จะช่วยลดข้อผิดพลาด และ มองหาโอกาส ได้เร็วกว่าคู่แข่งที่มี จึงไม่จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาการตัดสินใจและสัญชาตญาณของคนอีกต่อไป
ขอบคุณภาพปกจาก: Box photo created by vanitjan - www.freepik.com
ที่มา: scglogistics