ระบบโลจิสติกส์ในภาคเกษตรไม่ใช่เพียงการขนส่งจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งเท่านั้น หากแต่เป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมตั้งแต่การเก็บเกี่ยว การบรรจุ การจัดเก็บรักษา การขนส่ง ไปจนถึงการจัดจำหน่ายให้ถึงมือผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ
การบริหารจัดการที่ดีในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการโลจิสติกส์สามารถช่วยลดการสูญเสียของผลผลิต ทั้งในแง่ของปริมาณและคุณภาพ เพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าเกษตร และลดต้นทุนโดยรวมของระบบการผลิต ที่สำคัญยังช่วยรักษาความสดใหม่ ความปลอดภัย และคุณค่าทางโภชนาการของสินค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความพึงพอใจของตลาดปลายทาง โดยเฉพาะเมื่อต้องขนส่งระยะไกล เช่น จากแหล่งผลิตในภาคเหนือสู่ตลาดกลางหรือเมืองหลวง
นอกจากนี้ ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและคู่ค้าทางธุรกิจ ส่งผลให้เกษตรกรสามารถยกระดับการผลิตสู่มาตรฐานที่สูงขึ้น สร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ และแข่งขันในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้อย่างมีศักยภาพ

บทบาทของเทคโนโลยีโลจิสติกส์ในการรักษาคุณภาพ
1. ระบบห่วงโซ่ความเย็น (Cold Chain System)
เป็นหัวใจหลักของการขนส่งสินค้าเกษตรสด โดยเฉพาะสำหรับผลไม้และผักที่เน่าเสียง่าย ระบบนี้ช่วยควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เช่น ควบคุมให้อยู่ในช่วง 2-8°C สำหรับผักใบ และ 10-13°C สำหรับผลไม้เมืองร้อน
2. การใช้รถห้องเย็น
ขนส่งสินค้าโดยรถที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิ สามารถรักษาคุณภาพสินค้าให้อยู่ในสภาพดีแม้ต้องเดินทางระยะไกล รถห้องเย็นที่ดีมักมาพร้อมระบบติดตาม GPS และเซนเซอร์ตรวจวัดอุณหภูมิแบบเรียลไทม์
3. การบรรจุหีบห่อที่เหมาะสม
การเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับประเภทสินค้า เช่น กล่องระบายอากาศสำหรับผักผลไม้สด หรือกล่องกันกระแทกสำหรับดอกไม้ จะช่วยลดความเสียหายระหว่างทาง
4. การบริหารจัดการเวลา (Time-sensitive Delivery)
การกำหนดรอบส่งให้เหมาะสมกับรอบเก็บเกี่ยว และการจัดส่งตรงเวลา ช่วยลดโอกาสที่สินค้าจะเสื่อมสภาพหรือต้องค้างในระบบนานเกินไป
ปัจจัยสำคัญในการเลือกผู้ให้บริการโลจิสติกส์
- มาตรฐานการขนส่ง เช่น ได้รับการรับรอง ISO 9001, HACCP หรือ GAP
- ประสบการณ์ในสินค้าเกษตรโดยเฉพาะ เช่น เคยให้บริการกับกลุ่มเกษตรแปรรูป หรือกลุ่มสหกรณ์
- ความสามารถในการจัดการแบบปลายทางถึงปลายทาง (End-to-End Service) เช่น การรับสินค้าจากแหล่งผลิตในเชียงใหม่และจัดส่งตรงถึงตลาดหรือร้านค้าในกรุงเทพฯ

โลจิสติกส์ช่วยรักษาคุณภาพได้อย่างไร
สินค้าเกษตร เช่น ผักสด ผลไม้ ดอกไม้ และสมุนไพร เป็นสินค้าที่มีความอ่อนไหวสูงต่อสภาพแวดล้อมระหว่างการขนส่ง โดยเฉพาะเมื่อมีระยะทางยาว เช่น เส้นทางจากเชียงใหม่มายังกรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 8-12 ชั่วโมง การรักษาคุณภาพสินค้าให้คงความสดใหม่ ปลอดภัย และมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วนตลอดเส้นทางนั้น จำเป็นต้องอาศัย ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับลักษณะของสินค้า
โคโนอิเกะ มีการให้บริการขนส่งสินค้าเย็นเชื่อมต่อเส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ และจังหวัดในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย และลำปาง ด้วยมาตรฐานการขนส่งสูงและยานพาหนะที่ได้รับการดูแลอย่างดี เพื่อให้สินค้าถึงมือปลายทางอย่างปลอดภัยและตรงเวลา มีบริการติดตามสถานะการขนส่ง ประกันภัยสินค้า เพื่อเป็นการการันตีและสร้างความมั่นใจสูงสุดในการขนส่ง
การขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิมีให้บริการตั้งแต่ -18°C ถึง +18°C โดยได้รับมาตรฐาน ISO9001:2015, GHPs, Food Defense และ GSDP ในส่วนของรถขนส่งมีบริการตั้งแต่รถ 4 ล้อ 6 ล้อ 10 ล้อ ไปจนถึงรถ 18 ล้อ ที่พร้อมให้บริการทั้งงานขนส่งและกระจายสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ตรงเวลา ทำให้มั่นใจคุณภาพของการขนส่งได้ทุกเที่ยว
ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพคือกลไกสำคัญในการยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรจากเชียงใหม่ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดกรุงเทพฯ ที่มีความต้องการสูง หากสามารถบริหารจัดการได้อย่างครบวงจร ทั้งด้านเวลา อุณหภูมิ และการดูแลสินค้าในระหว่างทาง จะไม่เพียงแต่ช่วยรักษาคุณภาพของสินค้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อรายได้ของเกษตรกร ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการเติบโตของห่วงโซ่อุปทานในภาพรวม

สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ทางโทรศัพท์ 02-337-3013
Sales Department: 063-269-0135 คุณสมคิด
Sales Department: 061-393-7998 คุณมินนี่
Sales Department: 063-269-0136 สายป่าน
หรือ Line id: @495apobz และ อีเมล sa@kclt.konoike.net
Website Profile: บริษัท โคโนอิเกะ คูล โลจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด
Facebook: Konoike Cool Logistics Thailand